ทุนจีนทะลักนิคมอุตสาหกรรม 5 แสนล้าน

03 มีนาคม 2568
ทุนจีนทะลักนิคมอุตสาหกรรม 5 แสนล้าน
ทรัมป์เอฟเฟ็กต์ทุนจีนทะลักเข้าไทยตั้งแต่ปี 2565 ใบอนุญาตทำงานแซงญี่ปุ่น-สิงคโปร์ มีการลงทุนแล้ว 585 โรงงาน มูลค่า 5.47 แสนล้านบาท สัดส่วน 14.3% ของภาพรวมในนิคมอุตสาหกรรมไทย ด้านตัวเลขนิติบุคคลจีนทะลุ 30,455 ราย ทุนจดทะเบียน 4.26 แสนล้านบาท สัดส่วน 10.2% ของภาพรวมชาวต่างชาติ เผยพฤติกรรมเศรษฐีจีนส่งลูกเข้าโรงเรียนนานาชาติต้องมีผู้ปกครองอยู่ด้วย เทคนิคตั้งบริษัทลงทุนในไทยเป็นทางออกที่ลงตัว ธุรกิจไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ แต่สามารถดูแลครอบครัวระยะยาวโดยถูกกฎหมาย

ทรัมป์ 2.0 สร้างผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกชัดเจน โดยเฉพาะผลกระทบจากปัญหาเทรดวอร์หรือสงครามทางเศรษฐกิจ จากการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าและส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของเทรดวอร์รอบใหม่นี้มีปัจจัยบวกให้ประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากการย้ายการลงทุนและการอยู่อาศัยระยะยาว
จีนย้ายฐานผลิต 5.47 แสนล้าน
นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย จำกัด ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก มีเครือข่ายใน 60 ประเทศ สัดส่วนครึ่งหนึ่งอยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกาเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าผลกระทบเทรดวอร์รอบใหม่ มีเรื่องการเคลื่อนย้ายของนักลงทุน หรือกลุ่มทุนในจีนที่จำเป็นต้องมองหาฐานการผลิตสินค้าใหม่ในประเทศอื่น ๆ นอกประเทศจีน กลายเป็นหนึ่งในทางเลือกสำคัญที่เห็นชัดเจนตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา

ประเทศเป้าหมายการเคลื่อนย้ายลงทุนและย้ายฐานการผลิตนับรวมกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งอินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โฟกัสไทยนับตั้งแต่ปี 2566 ถึงปัจจุบัน กลุ่มคนจีนเข้ามาไทยจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบนักลงทุนเข้ามาจัดตั้งนิติบุคคลสัญชาติจีนในไทย และการขอใบอนุญาตทำงานก็เพิ่มมากขึ้นสอดคล้องกัน

ทั้งนี้ สถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นักลงทุนจีนขึ้นเป็นอันดับ 1 แซงนักลงทุนญี่ปุ่นในปี 2566-2567 ประเมินว่าเป็นเทรนด์ต่อเนื่องในปี 2568 ด้วย โดยปี 2567 นักลงทุนจีนได้รับ BOI ทั้งสิ้น 743 โครงการ มูลค่าลงทุน 174,440 ล้านบาท

อุตสาหกรรมตามบัตรส่งเสริมลงทุน BOI พบว่าอันดับ 1 รถยนต์อีวีและชิ้นส่วน 178 โครงการ ลงทุนรวม 43,113 ล้านบาท รองลงมาเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 148 โครงการ รวม 41,158 ล้านบาท อันดับ 3 ผลิตภัณฑ์โลหะ 151 โครงการ วงเงินลงทุน 40,630 ล้านบาท

ขณะที่สถิติการลงทุนของนักลงทุนจีนในนิคมอุตสาหกรรมไทย ข้อมูลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รายงานว่า มีนักลงทุนสัญชาติจีนทั้งหมด 585 โรงงาน มูลค่าลงทุนสะสม 547,769.65 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 14.3% ของนักลงทุนทั้งหมด

จัดอันดับท็อป 5 ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 2.ผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์รวมการซ่อมด้วย 3.ยางและผลิตภัณฑ์ยาง 4.กิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม และ 5.อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ

เปิดท็อป 5 นิคมอุตฯ ในใจจีน
นายสุรเชษฐกล่าวต่อว่า โฟกัสเฉพาะนักลงทุนจีนตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 นิคมอุตฯ อมตะซิตี้ ระยอง มูลค่าลงทุน 218,767.65 ล้านบาท, อันดับ 2 ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 มูลค่าลงทุน 39,504.88 ล้านบาท, อันดับ 3 ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2 มูลค่าลงทุน 30,181.78 ล้านบาท, อันดับ 4 เอเชีย ลงทุน 29,315.09 ล้านบาท และอันดับ 5 หลักชัยเมืองยาง ลงทุน 19,922.02 ล้านบาท (ดูกราฟิกประกอบ)
ในจำนวนนี้จะเห็นว่านักลงทุนจีนลงทุนรวมในนิคมอุตฯ อมตะซิตี้ ระยองมากที่สุด รวมทั้งในภาพรวมก็ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมพื้นที่จังหวัดระยองมากที่สุดอีกด้วย เพราะเป็นการเข้ามาของกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมรถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า อาทิ บีวายดี (BYD) และเกรทวอลล์มอเตอร์ (GWM)

รวมถึงอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และอุตฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหตุผลหลักเนื่องจากราคาที่ดินในนิคมอุตฯ จังหวัดระยอง มีราคาต่ำกว่าพื้นที่นิคมอุตฯ ในชลบุรี แต่มีความสะดวกในการผลิตสินค้าส่งออก เพราะมีท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด

นิติบุคคลจีนพุ่ง 3 หมื่นราย
ขณะเดียวกัน การเข้ามาของการลงทุนจีนที่มากมายต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการตั้งนิติบุคคลสัญชาติจีนในไทยมากขึ้น โดยขึ้นมาอยู่อันดับ 3 รองจากญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ณ สิ้นปี 2567 มีนิติบุคคลสัญชาติจีนในไทยทั้งหมด 30,455 ราย มูลค่ารวมของทุนจดทะเบียน 426,062.47 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10.2% ของมูลค่าการลงทุนรวมของนิติบุคคลต่างชาติในไทย

สำหรับแนวโน้มการจัดตั้งนิติบุคคลต่างชาติในไทย พบว่าจีนกับสิงคโปร์มีทิศทางเพิ่มขึ้น สวนทางกับนิติบุคคลสัญชาติญี่ปุ่น ถึงแม้มีการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มในอัตราที่ต่ำกว่าสิงคโปร์ จีน และอีกหลายประเทศ

“ช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับใบอนุญาตทำงานในไทยมากที่สุดมาโดยตลอด ถ้าไม่นับแรงงานจากเมียนมา ลาว กัมพูชา ข้อมูลกระทรวงแรงงานแจ้งว่า จำนวนคนจีนที่ได้รับใบอนุญาตทำงานในไทยเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา มากกว่าญี่ปุ่น และจีนยังคงเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2567 จึงมองว่าจะสูงต่อเนื่องในปีนี้ด้วย”

เศรษฐีตั้งบริษัทส่งลูกเรียนไทย
นายสุรเชษฐกล่าวด้วยว่า การที่มีคนจีนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมและธุรกิจต่าง ๆ นั้น ที่สูงมากตั้งแต่ปี 2565 อาจมีการคาดการณ์แล้วว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาจะเป็นใคร และจะมีนโยบายที่สร้างผลกระทบต่อพวกเขาอย่างไร การย้ายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมบางประเภทจึงมีให้เห็นตั้งแต่ก่อนปี 2568

นอกจากนี้ ปัญหานโยบายภายในและสภาพเศรษฐกิจในประเทศจีน การควบคุมทางการศึกษาที่มีผลต่อระบบการศึกษาในหลักสูตรนานาชาติ ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มคนจีนรุ่นใหม่ที่มีฐานะ จึงก่อให้เกิดเทรนด์การส่งบุตรหลานออกมาเรียนต่อในต่างประเทศ โดยไทยก็เป็น 1 ในประเทศเป้าหมายของกลุ่มคนจีนที่มีฐานะ

ในขณะที่มีจุดน่าสนใจอยู่ที่การมาเรียนหนังสือในไทยของบุตรหลานชาวจีนนั้น จำเป็นต้องมีผู้ปกครองมาอยู่ดูแลด้วย วิธีการในการมาดูแลแบบระยะยาวที่สะดวก และไม่ต้องมีปัญหาเยอะ ก็คือการเปิดธุรกิจในไทย แล้วขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย ผ่านบริษัทหรือนิติบุคคลที่ตนเองตั้งขึ้นมา โดยบริษัทสัญชาติจีนก็ทำธุรกิจทั่วไป ซึ่งอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักในการจัดตั้งบริษัทหรือนิติบุคคลในไทยของคนจีนบางกลุ่ม

“มองในภาพใหญ่ทั้งโลก ผลกระทบเทรดวอร์รอบนี้ ไทยอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกอันดับแรกของนักลงทุนที่มองหาฐานการผลิตใหม่ ๆ แต่ก็ยังอยู่ในลำดับต้น ๆ ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนจีนหรือสัญชาติใดก็ตาม”
แหล่งที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.